top of page
elgar2_2138581b_0.jpg

Edward Elgar 

 Edward Elgar เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1857 ที่ Worcester ในประเทศอังกฤษ โดยเขาอยู่ในครอบครัวที่ทำธุรกิจดนตรี นั่นจึงทำให้เขาชอบดนตรีเป็นอย่างมาก และมักจะเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอในเครื่องดนตรีเปียโนและไวโอลิน แต่ด้วยความลำบากทางฐานะการเงินที่บ้านเขาจึงต้องออกทำงานเป็นพนักงานกฏหมายตั้งแต่อายุ 15 ปี และในภายหลังถึงจะผันตัวเป็นคุณครูสอนดนตรีแทน เขาได้กลายเป็นนักดนตรีในเมือง เล่นกับวงต่างๆรวมถึงเริ่มการประพันธ์เพลงอีกด้วย

 จนในปี 1899 เขาได้แต่งเพลง Enigma Variations ซึ่งเป็นผลงานออเครสตราชิ้นแรกของเขา และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในปีต่อๆมาเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจากผลงาน The Dream of Gerontius ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลงาน choral music ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมี Elgar’s Symphony No. 1 (1908),

The Violin Concerto in B minor (1910) , Symphony No. 2 (1911) ที่เป็นเพลงประพันธ์เป็นที่จดจำตลอดกาลของเขา

 นอกจากความหลงใหลและมุ่งมั่นในการแต่งเพลงของเขาที่มีพลังมากแล้ว ก็เห็นได้ว่าเขานั้นเป็นผู้ที่มีความรักต่อภรรยาอย่างมาก ครั้งเมื่อความรักของเขาทั้งสองกำลังงอกงาม เอดเวิร์ดได้เประพันธ์บทเพลง

Salut d'amour op.12  เพื่อประกอบบทกวีที่ชื่อ “The Wind at Dawn” ที่แต่งโดยภรรยาของเขาเช่นกัน Caroline Alice Roberts และบรรเลงเพลงนี้เพื่อเป็นมอบของขวัญ ใช้หมั้นกับเธอเมื่อวันที่ 22 กันยายน 1880

  เพลงนี้วางจำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ.1889 โดยเปลี่ยนชื่อเพลงเป็นภาษาฝรั่งเศส “Salut d’Amour” และให้ Liebesgruss เป็นชื่อรอง ส่วนชื่อผู้ประพันธ์ใช้นามปากกาว่า ‘Ed. Elgar’เพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุโรปและเมื่อเผยแพร่ไปที่อเมริกาก็ได้รับความนิยมอย่างสูงเช่นกัน เป็นหนึ่งในเพลงที่มีการเรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับเครื่องดนตรีหลากหลาย 

THE WIND AT DAWN

 And the wind, the wind went out to meet with the sun

     At the dawn when the night was done,

       And he racked the clouds in lofty disdain

         As they flocked in his airy train.

          And the earth was grey, and grey was the sky,

           In the hour when the stars must die;

            And the moon had fled with her sad, wan light,

           For her kingdom was gone with night.

           Then the sun upleapt in might and in power,

          And the worlds woke to hail the hour,

         And the sea stream’d red from the kiss of his brow,

       There was glory and light enow.

     To his tawny mane and tangle of flush

   Leapt the wind with a blast and a rush;

  In his strength unseen, in triumph upborne,

Rode he out to meet with the morn.

e6edb931cbd4834076588449a910aea1.jpg

-Alice Robert

 .....สายลมในยามรุ่งอรุณเดินทางออกไปพบกับดวงอาทิตย์ในยามเช้า

 เมื่อราตรียุติลง สายลมเดินทางไปถึงกลุ่มก้อนเมฆที่ดูจะรังเกียจของการมาของเขา

 เหล่าเมฆทั้งหลายพุ่งตรงเข้ามาหาและจากเขาไป

 พื้นแผ่นดินที่ดูซีดเทา แต่สีเทานี้คือสีท้องฟ้าในชั่วโมงที่เหล่าดวงดาวจะต้องจากไป

 และพระจันทร์ก็หลีกหนีหายไปด้วยแสงจางๆ

 เนื่องด้วยอาณาจักรของเธอก็จากหายไปพร้อมกับค่ำคืนที่สิ้นสุด

 เมื่อนั้นพระอาทิตย์ก้าวออกมาด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่

 และโลกก็ตื่นขึ้นเพื่อสรรเสริญแห่งการมาถึง

 ท้องทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยเปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นของพระอาทิตย์

 ในวินาทีนี้เต็มไปด้วยเกียรติยศแห่งช่วงเวลาขณะนั้น

 ในเส้นสายสีน้ำตามส้มและกลุ่มสีที่เจิดจ้า

 ลมเดินทางผ่านมาไปด้วยความว่องไว

 ในความแข็งแกร่งที่มิมีผู้ใดอาจเห็น ชัยชนะได้บังเกิด

 เมื่อลมได้เดินทางออกไปพบกับรุ่งอรุณ.......

L

O

V

E

 หากความรักเป็นสิ่งที่นิรันดร์ ก็คงไม่ต่างจากท่วงทำนองของเสียงเพลงในใจที่ยังคงเปิดวนใหม่ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับ Salut d'amour op.12  ที่ยังคงเป็นบทเพลงรักสุดนิยมทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่หากพูดถึงรูปแบบของความรักในแต่ละบุคคล คงแตกต่างกันอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งในแบบคนรัก เพื่อน หรือแม้กระทั่งครอบครัว  ‘ความรักของผู้เป็นแม่’ เป็นสิ่งหนึ่งที่นิรันดร์และคอยอยู่โอบอุ้มหล่อหลอมเราด้วยความรู้สึกรักและหวังดีเสมอมา แม้จะอยู่ในความทรงจำที่แสนยาวนาน แต่ก็ไม่สามารถที่จะลบเลือนออกไปได้เลย

55692875_377228979785463_865390742120431
bottom of page