

JOHN
CAGE
John Cage คีตกวี นักเปียโน นักเขียน และนักปรัชญาทางดนตรีชาวอเมริกัน เกิดที่เมืองลอสแอนเจลิส
เมื่อปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) เสียชีวิตที่เมือง นิวยอร์ก ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เขาเป็นคีตกวีที่มีบทบาทสำคัญในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองของอเมริกา มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดที่สำคัญทางดนตรีในศตวรรษที่ 20 อยู่หลายสายเช่น ทางสายดนตรี "อวองการ์ด" (Avantgarde)







งานดุริยนิพนธ์ในช่วงแรก
งานประพันธ์ในช่วงแรกมีพื้นฐานมาจากการจัดวางระดับเสียงในบันไดเสียงโครมาติก หลังจากที่สังเกตเห็นเฮนรี คาวเวล นำเอาสิ่งของต่างๆ (เช่น คลิปหนีปกระดาษ ยางลบ ตะปู ฯลฯ) ไปวางเสียบหรือสอดระหว่าสายเปียโนเพื่อสร้างสีเสียง (timbre หรือ tone color) ที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้นนั้น เคจจึงหันมาสนใจในเปียโนพิเศษนี้ ซึ่งเรียกกันว่า prepared piano หรือเปียโนที่เตรียมแล้ว (เปียโนแปลง) เคจประพันธ์งานโดยใช้เปียโนดังกล่าวในงานชื่อว่า "บัคคานาล" (Bacchanale-1938) ให้กับซิลวิลลา ฟอร์ท (Sylvilla Fort [1917-75]) โดยใช้แทนกลุ่มเครื่องเพอร์คัสชั่น ซึ่งทำให้ prepared piano กลายสภาพไปเป็นวงเพอร์คัสชั่นที่บรรเลงโดยคนๆเดียว ต่อจากนั้นประพันธ์ "เมตามอร์โฟซิส" (Metamorphosis-1938) และงานชิ้นสำคัญที่นำชื่อเสียงมาให้ในช่วงแรกนี้ก็คือ "โซนาตาและอินเทอลูด"(Sonatas and Interludes for prepared piano [1946-48]) จำนวน 20 บท (โซนาตา 16 บท และอินเทอลูด 4 บท)
ในบทเพลงนี้เคจได้บันทึกวิธีการแปลงเสียงของเปียโนจำนวน 45 เสียงเอาไว้เพื่อสร้างเสียงที่มีลักษณะอย่างเพอร์คัสชั่นแบบใหม่ขึ้น ใช้ชุดของตัวเลขเพื่อที่จะกำหนดจังหวะในหลายบทเพลงของงานชุดนี้ โดยตั้งใจให้เพลงทุกบทในชุดแสดงแนวคิดเรื่อง "อารมณ์เดียวโดยตลอด" ซึ่งได้รับอิทธิพลจากดนตรีอินเดีย โดยมีอารมณ์เช่น เจ็บปวด ยิ้มหัวเราะ วีรบุรุษ สงบ ฯลฯ ใช้ตารางเมทริกซ์ในการคำนวณความยาวของบทเพลง ซึ่งส่งผลให้เกิดเอกภาพในงานโดยรวมและทำให้เลี่ยงจังหวะแบบปกติหรือที่เรียกว่า "เรกูลา ริธึม" (regular rhythm)ไปได้ ซึ่งทำให้บทเพลงมีความลื่นไหลปราศจากการถูกบังคับโดยเส้นกั้นห้อง งานในช่วงแรกอื่นๆมี "สตริงควอเต็ทอินโฟร์พาร์ท" (String Quartet in Four Parts [1950]) และ "คอนแชร์โตสำหรับเปียโนแปลงและวงดุริยางค์เชมเบอร์ที่ประกอบด้วยนักดนตรีเดี่ยว 22 คน" (Concerto for prepared piano and chamber orchestra of 22 soloists [1951]) เป็นต้น

Aria (1958)
ผลงาน
-
Concerto for prepared piano and chamber orchestra (1951)
-
Concert for Pianoforte (1957-58)
-
Atlas Eclipticalis (1961-2)
-
30 Pieces for 5 Orchestras (1981)
-
Construction I in Metal
-
Imaginary Landscapes
-
Speech (1955)
-
27'10.554
-
3 pieces for two flute (1935)
-
String Quartet (1950)
-
4'33"
-
6 melodies
-
HPSCHD
-
Aria [1958]
Six Melodies for Violin and Keyboard
Six Melodies เป็นชุดเพลงสำหรับเครื่องไวโอลินและคีย์บอร์ด ประพันธ์โดย จอห์น เคจ ซึ่งเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเมื่อปี 1950 เป็นเวลาไม่นานหลังจากที่เขาได้ประพันธ์เพลง String Quartet in Four Parts โดยทั้งสองเพลงใช้เทคนิคเดียวกันนั่นก็คือ gamut technique และ nested rhythmic โดยในขั้นตอนแรกคือการกำหนดโน้ตหรือขั้นคู่ไว้ก่อนและใช้เซ็ทโน้ตนี้ในการแต่งเพลงที่มีความเข้ากันของฮาร์โมนีแต่ว่าแต่ไม่ได้ตรงตามฟังก์ชั่นมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เคจพยายามเลี่ยงหนีในการอยู่ในกฏเกณฑ์ โดยไวโอลินจะบรรเลงโดยไม่ vibrato และใช้เทคนิคโบว์ที่เบากว่าปกติ
สำหรับบทเพลงนี้มีทั้งหมด 6 ท่อนด้วยกัน เป็นผลงานของเคจอีกหนึ่งตัวอย่างที่ประกอบไปด้วยลายเมโลดี้ที่ปราศจากแอคคอม โดยมีการใช้โน้ตในรูปแบบ intervals ในเครื่องเดียวหรืออาจจะทั้งสองเครื่องในการประพันธ์ ตัวดนตรีจะมีความเรียบง่ายและมีบรรยากาศคล้ายกับเพลง String Quartet in four parts หรือเรียกได้ว่าเป็น postscript ของเพลงนี้เลยก็ว่าได้ และนอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิค gamut of sounds ในอีกด้วย โครงสร้างของจังหวะเพลงนี้คือ 3 1/2, 3 1/2, 4, 4, 3, 4.
จากที่เห็น six melodies ถือเป็นบทเพลงที่เคจพยายามให้ฮาร์โมนีได้เดินทางเป็นอิสระ แม้ทำนองบางที่จะถูกใช้ซ้ำ แต่มันยังสามารถสร้างและขยายตัวบทเพลงให้เกิดทำนองใหม่ได้อย่างหลากหลาย

ทั้งนี้เขายังได้ให้มุมมองการสร้างดนตรีในรูปแบบที่แปลกใหม่และกว้างขวาง เขาสามารถพาเราไปรู้จักขอบเขตของคำว่า"เสียง"ได้อย่างไม่มีขอบเขต สิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงกลับมี เพียงแค่เราต้องเรียนรู้ในอิสระของการเดินทาง เพียงแค่นั้น
.
.
.